โดย หมอโจ
มุมมองเจ้าของบ้าน ตอนที่ 8
ปรับจูนแนวคิด
เจ้าของบ้าน & สถาปนิก
ตอนคุยกันทางโทรศัพท์...สถาปนิกเค้าบอกผมว่า
จะนัดคุยกันครั้งแรกตามห้าง
หรือที่ที่เราสะดวกก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะไปคุยที่ออฟฟิศเค้าครับ
เพราะอยากรู้หลักแหล่ง..ที่อยู่ของบริษัทเค้าด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงว่าผมต้อง
ขับรถจากรามอินทราไปพุทธมณฑล ระยะทางร่วม 40 กิโลเมตรเชียวนะนั่น
ถนนบรมราชชนนีมุ่งหน้าไปศาลายา
ในวันที่แดดแรงสุดๆครับ
นานแล้วครับที่ไม่ได้ไปแถวนั้น เดี๋ยวนี้ย่านนี้ยังคงความเป็นชานเมืองที่รถรา
คับคั่งอยู่เหมือนเดิม . . .
ผมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงที่นัดหมายครับ เป็นออฟฟิศเล็กๆ อยู่รวม
กับโรงงานที่ทำงานไม้ภายนอก คนงานทำงานกันง่วนไม่มีใครสนใจผมเลย
จนกระทั่งสถาปนิกเข้ามาทักทายเราสองคน พร้อมกับเล่าว่าพึ่งย้ายออฟฟิศ
มาตั้งใหม่ เพื่อให้ใกล้กับโรงงานและติดถนนใหญ่ ภายในยังตกแต่งไม่เรียบร้อย
หลังจากแนะนำตัวกันเบื้องต้นเราก็ย้ายที่คุยไปที่บ้านของสถาปนิกซึ่งอยู่
ไม่ไกลจากออฟฟิศมาก เราเล่าให้สถาปนิกฟังถึงความต้องการของเรา
และงบประมาณที่มี
ขณะที่สถาปนิกก็อธิบายถึงแนวคิด รูปแบบและวิธีการทำงานของเค้า รวมถึง
ผลงานและค่าออกแบบ ตลอดจนรายละเอียดอื่นๆอีกมากมาย
ตรงนี้ถ้าเพื่อนๆ ทำการบ้านมาก่อนจะคุยกันง่ายขึ้นครับ ก่อนที่สถาปนิกจะ
เอาหนังสือสไตล์บ้านมาให้ดู
จำได้มั้ยครับว่า ตอนที่แล้ว ผมเล่าให้เพื่อนๆฟังว่าบ้านในความคิดของเราจะ
ออกมาในแนวไทยประยุกต์ หลังคามุงกระเบื้องไอยรา แต่พอเราสองคนเห็น
แบบบ้านสไตล์ Modern Tropical
(เป็นแนวถนัดของสถาปนิกเค้า)
ในหนังสือที่สถาปนิกเอามาให้ดูเท่านั้นแหละครับ ปิ๊ง! ภาพบ้านของเราก็
เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย
เพราะโดยพื้นฐานแล้ว ผมชอบบ้านสไตล์โมเดิร์นอยู่แล้ว แต่แฟนไม่ชอบ
บ้านที่ดูเป็นกล่องๆ พอมาดูแบบบ้านสไตล์นี้ มันไม่ดูเดิร์นจนเกินไป มีส่วน
ประกอบของวัสดุธรรมชาติเข้ามาด้วย ทำให้ดูซอฟท์ขึ้น
จริงๆ ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าสถาปนิกเค้าถนัดสไตล์นี้ ซึ่งผมก็ชอบ แต่แฟน
นึกภาพไม่ออก เลยต้องพามาดู ตอนแรกผมกับแฟนก็ไม่แน่ใจนักในเรื่อง
การกันร้อนกันฝนของบ้านสไตล์นี้
แต่สถาปนิกก็อธิบายให้เรามั่นใจว่า บ้านสไตล์นี้สามารถปรับให้เข้ากับภูมิอากาศ
บ้านเราได้ด้วยการเพิ่ม ชายคา ระแนง กันสาด เพื่อให้กันแดดกันฝนได้
ขณะเดียวกันก็มีช่องแสงช่วยดึงแสงสว่างจากภายนอกเข้ามาไม่ให้มืด
มีฉนวนกันความร้อน มีประตูหน้าต่างที่เปิดรับลม จากภายนอกบ้านเข้ามา
ภายในได้..ทำให้ช่วยประหยัดไฟ
ประหยัดแอร์ อีกทางหนึ่ง
เรากลับมาปรึกษากันอยู่ 2-3 วัน ก่อนที่จะนัดสถาปนิกมาดูที่ดินเราในสัปดาห์
ถัดมา พูดคุยถึงรายละเอียดที่ลึกขึ้น วิถีชีวิตที่แต่ละคนทำในแต่ละวัน ชอบอะไร
ไม่ชอบอะไร การวางแผนครอบครัวในอนาคตว่าจะมีเจ้าตัวน้อยกี่คน
(แม่ผมยังไม่ซักผมขนาดนี้นะเนี่ย)
ต้องการห้องอะไรบ้าง...กี่ห้อง รวมไปถึง
อะไรที่อยากให้มีในบ้าน อะไรที่ไม่เอาเด็ดขาด บางอย่างสถาปนิกก็แย้งเรา
บางอย่างเราก็เห็นแย้งกับกับสถาปนิก แต่ก็เป็นการทะเลาะกันทางความคิด
ครับ พออธิบายเหตุผลที่เห็นต่าง เราก็หาข้อสรุปได้
บางอย่างถ้าผมยังติดใจ ก็จะเอากลับมาคิดมาปรึกษากับแฟนก่อน แล้วค่อยโทร
กลับไปคุยกับสถาปนิกทีหลัง ผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ที่ความคิดเห็น
ของเรากับสถาปนิกจะไม่ตรงกัน
เพราะเจ้าของบ้านจะมีแต่ความอยาก อยากให้มีอันนั้น มีอันนี้ แต่ไม่รู้ว่ามัน
จะเป็นไปได้ในเชิงสถาปัตย์และการก่อสร้างหรือเปล่า หรือจะเกินงบที่ตั้งไว้
หรือไม่ ? ขณะที่สถาปนิก
ก็จะมีไอเดียสุดบรรเจิด แต่ก็จะไม่รู้ว่า ไอเดียนั้น
เจ้าของบ้านจะซื้อหรือไม่ซื้อ ชอบหรือไม่ชอบ
ดังนั้นการพูดคุยกันให้มาก..ปรับจูนแนวคิดให้ไปในทางเดียวกัน จะทะเลาะ
ก็ทะเลาะกันตั้งแต่แรก ดีกว่ามาทะเลาะกันทีหลังครับ
หลังจากเซ็นสัญญาว่าจ้างแล้ว ผมก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสถาปนิกไปคิด
และออกแบบ
ส่วนตัวผมก็ทำได้แค่..รอ..รอ..รอ..แล้วก็รอ...ด้วยใจจดใจจ่อ นั่งลุ้นกันสองคน
ว่าบ้านจะออกมายังไง จนในที่สุดแบบร่างขั้นต้นก็คลอดออกมา...แอ่น...แอ๊น...
แบบร่างขั้นต้นของชั้นล่าง
แบบร่างขั้นต้นของชั้นบน
อ๊ะ...มันก็แค่กระดาษ A4 สองใบ ที่ขีดๆเขียนๆด้วยปากกาดำ เหมือนที่เรา
ร่างเล่นเลยนี่หว่า ฝีมือดีกว่าเรานิดเดียวเอง ! ยังไม่เลิกโม้ ผมคิดในใจแต่อาจ
จะคิดดังไปนิด
สถาปนิกเลยบอกว่า“มันแค่ร่างครับพี่”
ทำมาให้ดูก่อน เผื่อพี่จะแก้
แก้แน่น้องเอ๋ย เพราะบ้านพี่ไม่จำเป็นต้องมีห้องคนใช้หรอก คนใช้ บ้านพี่น่ะ
เค้านอนห้องนอนใหญ่ ห้องเดียวกับ คนรับใช้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล..แหะๆ
ผมเองครับ สถาปนิกคงยังไม่รู้ว่าแฟนผมน่ะ ! เธอเขี้ยวขนาดไหน
เธอบอกไม่ต้องมีหรอกคนใช้ ให้ผมทำงานบ้านน่ะดีแล้ว จะได้อยู่ติดบ้าน
(กลัวเราหนีเที่ยวนะสิ) เอ่อ...จริงๆแล้วเอ่อ...ผมก็เห็นด้วยนะ อ่า...แบบว่า
...เอ่อ...ไม่ต้องมีคนใช้หรอกครับ ผมทำเองก็ได้ครับ
( กระซิบ : จุ๊ จุ๊ แฟนผมชำเลืองมาครับ )
อีกอย่าง ผมก็ไม่ชอบให้คนอื่นที่ไม่ใช่คนสนิทมาอยู่ในบ้านด้วยเรามาจาก
ครอบครัวชนชั้นกลาง ทำอะไรด้วยตัวเองมาตลอดไม่เคยมีคนรับใช้มาก่อน
เลยไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ครับ
รูปนี้เป็น..การแก้ไขครั้งแรก ที่ผมร่างและสแกนส่งทางเมลล์ให้สถาปนิกครับ
หลักๆก็คือ ยุบห้องคนใช้(ซักรีด)รวมกับห้องน้ำ เป็นห้องเก็บของใหญ่ห้องเดียว
และหลังจากแก้นู่นแก้นี่อีกหลายครั้ง ทั้งทางโทรศัพท์ ทางอีเมลล์ หรือถ้าแก้
หนักๆ ก็นัดเจอกันเลยก็มี
สถาปนิกก็เหมือนจะประชด..ผมบอกว่า เน้นห้องเก็บของนะ แกก็เล่นทำซะ 3
ที่เลย..ดีครับผมชอบ จนเป็นที่พอใจของทั้ง “คนใช้” และ “คนรับใช้” ตัวจริง
แบบบ้านของเราสองคน
ก็ออกมาอย่างที่เพื่อนๆเห็นครับ
ภาพจริง เอ๊ย ภาพจำลอง
บรรยากาศจำลองของบ้านผมครับ
รูปนี้เอารั้วออก ให้ดูตัวบ้านและพื้นที่ครับ
ส่วน Jeep กับ Benz น่ะ
จำลองเหมือนกันครับ 555
แม้จะไม่สามารถมีบันไดนอกบ้านได้ ยังติดใจไม่เลิก แต่การโน้มน้าวแฟนผม
ให้เปลี่ยนใจจากบ้านหลังคารูปว่าว มาเป็น Modern tropical หลังคาสแลบ
และมุงเมทัลชีทได้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ
ทุกวันนี้ คุยกับผมแต่เรื่อง อลูมิเนียม กระจกตัดแสง เมทัลชีทไปนู่น สงสัย
สะกดคำว่า ไอยราไม่เป็นแล้วมั้ง
รูปบ้านด้านอื่นๆ จะทยอยๆมาลงให้ชมในตอนต่อๆไปครับ ขอเสริมนิด ในส่วน
ของการคัดเลือกสถาปนิก การทำสัญญาว่าจ้างสถาปนิก กับค่าออกแบบ
บางส่วนอ้างอิงจากหนังสือ “รู้จัก...สถาปนิก” ครับ
ในความเห็นส่วนตัวของผม...การดูผลงานอ้างอิง หรือ “Portfolio” ของ
สถาปนิก มีความสำคัญมาก จะทำให้เราได้รู้ถึงแนวถนัดของเค้า ว่าโดนใจเรารึเปล่า
จริงๆ ผมเชื่อว่าสถาปนิกทุกคนก็คงออกแบบบ้านได้ทุกแนวทุกสไตล์ แต่มัน
ก็ต้องมีสไตล์ที่เค้าชอบหรือถนัดเป็นพิเศษบ้างล่ะ
ถ้าเราไปจ้างสถาปนิกออกแบบในสไตล์ที่เค้าไม่ถนัด บ้านที่ได้ก็อาจจะออกมาดี
แต่จะไม่เต็มศักยภาพของสถาปนิก
เหมือนเวลาเราไปสั่งข้าวผัดกับร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องราดหน้า..ข้าวผัดก็คงอร่อย
แต่จะให้อร่อยเหมือนราดหน้าคงเป็นไปไม่ได้
แต่ Portfolio เพียงอย่างเดียว คงยังไม่ใช่คำตอบ...เพราะในการออกแบบ
และสร้างบ้าน เราต้องคอนแทคกับสถาปนิกไปอีกนาน ถ้าเราได้สถาปนิก
ที่พูดคุยกันรู้เรื่อง คุยกันถูกคอ สื่อสารกันเข้าใจ งานก็จะราบรื่น
การได้พบปะพูดคุยกับสถาปนิกหลายๆครั้ง..จะพอให้เราดูออกว่าน่าจะคลิ๊ก
รึเปล่า ยิ่งถ้าได้พูดคุยกับลูกค้าเดิมของสถาปนิก ก็จะยิ่งได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องค่าออกแบบ ตอนแรกผมเองก็เคยกลัวว่าการไปจ้างสถาปนิกเนี่ย
จะแพงรึเปล่า ? แต่พอมาอ่านหนังสือ
พบว่า...ค่าออกแบบหรือค่าบริการ
วิชาชีพมีมาตรฐาน ของสมาคมสถาปนิกสยามฯ กำหนดอยู่แล้ว
อยู่ที่ 5-7% ของราคาบ้านที่ประเมินไว้
ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เราต้องจ่ายทีเดียวทั้งก้อน แต่จะมีการแบ่งจ่าย
เป็นงวดๆตามเนื้องาน
โดยมีสัญญาว่าจ้างระบุไว้ ถึงขอบเขตการทำงานและความรับผิดชอบ
ของสถาปนิก มีแนวทางปฏิบัติของสมาคมกำหนดอยู่ แต่ต่อรองกันได้ครับ
ก็มีคนถามผมหลายคนเหมือนกันว่า ทำไมถึงยอมจ่ายค่าออกแบบตรงนี้
ไปจ้างบริษัทรับสร้างบ้านไม่ดีกว่าเหรอ ฟรีค่าออกแบบ หรือบางคนบอกไปจ้าง
ช่างเขียนแบบทั่วไปก็ได้ ถูกกว่าอีก
ก็เพราะคิดอย่างนี้แหละครับ บ้านมันถึงได้ออกมาเหมือนๆกันทุกตรอกซอกซอย
ผมไม่ได้ว่าบ้านพวกนี้มันโหลนะ
(แม้จะดูเหมือนว่าก็เหอะ)
แต่ผมเชื่อว่าในโลกนี้ ของฟรีไม่มีของดีไม่ถูก ที่เขาบอกว่าฟรี ก็คงบวกไปใน
ราคาสร้างบ้านแล้วล่ะ หรือถ้าจ้างช่างเขียนแบบถูกๆ เราก็จะได้บ้านพื้นๆไม่
ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของเรา
ซึ่งผมยอมที่จะจ่ายในส่วนนี้ เพื่อให้บ้านที่จะต้องอยู่ไปอีกหลายสิบปี “เป็นบ้าน”
ที่ถูกใจเราสองคนมากที่สุดในทุกๆวัน
ผมคงทนไม่ได้ที่จะต้องทนอยู่ในบ้าน ที่ไม่ถูกใจเป็นสิบๆปี เพียงเพราะอยาก
ประหยัดเงินในการออกแบบ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นกับงบประมาณของเจ้าของบ้านด้วย ถ้างบน้อยก็คง
ต้องประหยัด..แต่ถ้าพอมีงบประมาณ
ผมคิดว่าควรให้ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ ออกแบบให้จะได้บ้านที่เหมาะ
กับตัวเราและสภาพที่ดินของเราที่สุดครับ
-โปรดอ่านต่อหน้าถัดไป-
ไปหน้าสารบัญ
ประสบการณ์การสร้างบ้าน
30 User Online